แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การตรวจสอบวิทยานิพนธ์เบื้องต้น แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การตรวจสอบวิทยานิพนธ์เบื้องต้น แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จัดลำดับความคิดก่อนเขียน

นึกศึกษาท่านหนึ่งมีข้อมูลพร้มทุกอย่างแล้ว แต่ติดปัญหาที่จะเรียบเรียงยังไงให้งานวิทยานิพนธ์ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ถ้าอย่างงั้นทบทวนกันอีกครั้งครับ

1. เขียนโครงสร้างวิทยานิพนธ์คร่าว ๆ ก่อน
2. จัดลำดับเหตุการณ์ข้อเท็จจริง ที่นิยมมากคือจัดตามลำดับเวลา หรือเรียงลำดับจากเหตุการณ์เล็ก ๆ ไปหาใหญ่
3. จัดลำดับเนื้อหาก่อนนะครับ อย่าเพิ่งไปกังวลกับการเชื่อมเนื้อหา เพราะการเชื่อมเนื้อหาเข้าหากันนั้นเป็นเรื่องรองลงไปครับ (สำหรับผมแล้วการทำโครงสร้างให้สมบูรณ์มาก่อนสิ่งอื่นใดนะครับ)
4. ถ้าจะให้ดีอาจให้เพื่อน ๆ ช่วยวิจารณ์ด้วยก็ดี อย่างน้อยก็ช่วยตรวจตัวสะกดให้ด้วย
5. ต้องอาศัยทักษะความจำมาก ๆ ครับจะต้องทำให้ได้ว่าเนื้อหาท่อนนี้อยู่ตรงไหนในฐานข้อมูลที่เราเก็บรวบรวมมา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย กฎระเบียบต้องทำให้ดีนะครับ
6. เชื่อหรือไม่ครับว่าถ้าเพื่อน ๆ จัดลำดับโครงสร้างเนื้อหาได้แล้วเหตุการณ์ในอนาคตต่อไปจะเกิดขึ้นเอง เช่น สามารถคิดประเด็นใหม่ ๆ ได้เองทันที สามารถเชื่อมโครงสร้างเนื้อหาข้ามไปข้ามมากได้ง่ายขึ้น

หลักง่าย ๆ ของเทคนิคนี้คือ หลายคนจะคิดก่อน คิดไว้ในใจสุดท้ายก็คิดไม่ออกว่าจะเขียนยังไง จบยังไง การจัดลำดับโครงสร้างเนื้อหาจะช่วยผ่อนกำลังสมองครับ ถ้าไม่จัดลำดับโครงสร้างก่อนจะคิดขั้นตอนที่ซับซ้อนขั้นตอนไปไม่ได้ครับ

****************************
รอให้หน้าจอใหม่เสร็จแล้วจะอ่านง่ายกว่านี้ครับ รอสักครู่ครับ เพราะพวกกระทำจัดทำกันเองใช้เวลาว่างจากงานมาทำครับ

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการเรียบเรียงภาษา

เทคนิคการเรียบเรียงภาษา

1. หลีกเลี่ยงการเขียนวกไปวนมาโดยนำเสนอเป็นประเด็น และจัดลำดับ ตัวอย่างการนำเสนอ เช่น ประการที่หนึ่ง……………… ประการที่สอง…………………… ประการที่สาม…………………….. หรือ อาจใช้หมายเลขกำกับ เช่น 1)………………… 2)…………………. 3)…………………………. การนำเสนอโดยจัดลำดับเป็นประเด็นจะช่วยให้คนที่เขียนไม่คล่องจัดลำดับความคิดไม่ทันสามารถนำเสนอผลงานได้ง่ายโดยไม่ตกประเด็น และยังเป็นการตรวจสอบว่าเราเขียนประเด็นไหนตกไปบ้าง


2.การเรียบเรียงประเด็นและจัดลำดับตามข้อ 1. สามารถทำได้ทั้งการนำเสนอโดยแยกหัวข้อละประเด็น เช่น
ประการที่หนึ่ง…………………………………………………………...
………………………………………………………………………….
ประการที่สอง…………………… …………………………………….
…………………………………………………………………………..
ประการที่สาม…………………………………………………………...
………………………………………………………………………….
หรือ อาจนำเสนอโดยเรียงประเด็นและจัดลำดับแต่อยู่ในย่อหน้าเดียวกันก็ได้ ข้อดีของการจัดลำดับคือป้องกันการเขียนพันกันจากการเขียนประโยคยาว ๆ เพราะเมื่อมีหมายเลขกำกับจะช่วยเตือนความจำเราได้ว่าประเด็นไหนเขียนไปแล้วบ้าง


3. การใช้คำเชื่อมประโยค วลี “ที่” “ซึ่ง” “อัน” “ก็” “โดย” ระวังอย่าใช้คำเหล่านี้พร่ำเพรื่อ หรือหากจะใช้ก็ให้อยู่ห่าง ๆ กัน ตรวจภาษาอีกครั้งให้กระชับ ตัดข้อความที่ไม่จำเป็นเช่นคำว่า “ทำการ” “คำว่า” “เป็นต้น” “ที่” “ซึ่ง” “อัน” “ก็ซึ่ง” “โดยที่”


4.การใช้คำแสดงตัวอย่างมีให้ใช้หลายอย่าง “เช่น” “อาทิ” “กล่าวคือ” “ดังนี้” “ดังต่อไปนี้” สามารถใช้ได้หลากหลายครับไม่จำเป็นต้องใช้คำเดียวตลอดทั้งเล่ม


5.การใช้คำย่อของส่วนราชการ งานเขียนที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการมักจะใช้ชื่อเต็ม และมีคำย่อคู่กัน เช่น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(สำนักงาน ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู(ก.ค.) หรือคำย่อชื่อตำแหน่งทางราชการ เช่น กระทรวงกลาโหม(กห.) ฯลฯ คำเหล่านี้เป็นศัพท์บัญญัติของทางราชการนักศึกษาที่ทำงานรับราชการมักไม่มีปัญหาการเขียน การใช้คำเต็มคำย่อแต่หากเป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงราชการก็ต้องศึกษาไว้ครับหากต้องมีเนื้อหาอ้างอิงเกี่ยวข้องก็ต้องอ้างให้ถูกต้อง โดยสามารถตรวจสอบได้ที่เวปไซด์ต้นสังกัดของแต่ละหน่วยงาน


6. ใช้ภาษาในการเขียนให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ คือมีประธาน กริยา และกรรมของประธาน หรือคำขยายต่าง ๆ


7. การอ้างอิงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรแสดงสูตร และสมการคณิตศาสตร์การนำเสนอสูตรและสมการจำเป็นต้องพิมพ์ให้ชัดเจน มีลำดับขั้นตอนที่เหมาะสม


8. การนำเสนอตัวเลข หรือค่าสถิติในบทความ ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนทั้งในขณะเขียน หรือขณะพิสูจน์อักษร เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด สิ่งสำคัญคือเรื่องการสะกดและคำเขียนผิดควรให้เพื่อน หรือใครก็ได้ช่วยอ่านทวนให้เพื่อตรวจสอบซ้ำไม่ให้มีคำสะกดผิดหลุดออกไปได้


9. เขียนให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่ง่าย การเขียนย่อหน้าที่เห็นแนวคิดหลักได้ชัดเจน การเขียนเนื้อความเป็นเหตุเป็นผล มีขั้นตอนไม่วกวน อย่างไรก็ดีแม้จะเขียนโดยใช้ภาษาง่ายต้องคำนึงว่าภาษาในงานวิจัยเป็นภาษาทางการอย่าใช้ภาษาพูดเข้าไปปน


10. ผู้เขียนมีเทคนิคเฉพาะตัวที่ใช้ตรวจสอบความกลมกลืนของเนื้อหาซึ่งเป็นเทคนิดที่ใช้ได้ผล ท่านผู้อ่านลงนำไปใช้ดูก็ได้ครับ ในระหว่างที่กำลังเขียนเมื่อต้องวิเคราะห์ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ เมื่อวิเคราะห์ไปถึงจุด ๆ หนึ่งจะเกิดอาการตันทางความคิด วิเคราะห์ไม่ออกทั้งที่ข้อมูลก็มีพร้อม ผู้เขียนมีวิธีการแก้ปัญหาดังนี้


10.1 คิดไม่ออกให้หยุดพักชั่วคราวหาอะไรทำให้สมองปลอดโปร่ง


10.2 เนื้อความสำนวนภาษาตรงไหนยังไม่แน่ใจ หรือเรียบเรียงแล้วยังไม่ถูกใจก็ให้ทำแถบ “สีแดง” กำกับไว้ ทั้งนี้ผู้เขียนใช้ “สีแดง” ซึ่งหมายถึง “หยุด” หยุดในที่นี้คือหยุดไว้ก่อนคิดไม่ออกก็หยุดไว้ก่อน แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าสำนวนนี้ใช้ได้หรือไม่แต่อย่าลบข้อมูลนั้นนะครับ เพราะวันข้างหน้าอาจได้ใช้ประโยชน์อยู่ ข้อมูลต่าง ๆ จะลบได้ก็ต่อเมื่อทุกอย่างจบสิ้นแล้วเท่านั้น


10.3 เนื้อความสำนวนภาษาตรงไหนแน่ใจแล้วแต่ยังไม่แน่ใจอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้เขียนใช้แถบ “สีฟ้า” กำกับไว้ ผู้เขียนใช้ “สีฟ้า” แทนสีเขียวซึ่งหมายถึงผ่านตลอดเพราะตัวอักษรสีเขียวมองไม่เห็นครับ ความหมายของการใช้ “สีฟ้า” คือ สำนวนภาษาตรงนี้ยังก้ำกึ่ง ๆ อยู่จะใช้ได้แล้วก็ยังไม่ใช่ จะใช้ไม่ได้เลยก็ไม่ใช่ พูดง่าย ๆ คือเขียนไปก็ลังเลไปเลยใช้ “สีฟ้า” ไปก่อนครับ แต่อย่าลบทิ้งนะครับ


10.4 การตัดต่อข้อมูลหรือข้อความจากแฟ้มข้อมูล ในกรณีที่เป็นงานวิจัยหลายคนหรือวิจัยคนเดียวแต่ใช้คนพิมพ์งานหลายคน เมื่อต้องนำข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มมารวมเป็นแฟ้มงานอันเดียวกัน ให้กำหนดว่าต้องมีแฟ้มข้อมูลอันใดอันหนึ่งเป็นหลัก ส่วนแฟ้มข้อมูลอื่น ๆ ก็เป็นแฟ้มข้อมูลสำรอง เมื่อตัดต่อหรือย้ายข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลใดมารวมกับแฟ้มข้อมูลหลักแล้ว ข้อมูลที่นำมาใช้แล้วให้ทำแถบสีกำกับไว้ด้วยเพื่อเตือนตัวเองให้ทราบว่าข้อมูลนี้ถูกนำไปใช้แล้วอย่างน้อยครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการนำข้อมูลอันเดียวกันไปใช้อ้างอิงซ้ำซาก

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ตรวจสอบเนื้อหาวิทยานิพนธ์ด้วยตนเอง

เมื่อเขียนวิทยานิพนธ์แล้วก็ต้องนำไปส่งอาจารย์ที่ปรึกษาครับ แต่ก่อนส่งเราก็สามารถตรวจสอบเนื้อหาได้ด้วยตนเองด้วยหลักง่าย ๆ ครับ
1. ตรวจดูว่าเราตั้งวัตถุประสงค์การศึกษาไว้ในบทที่ 1 มีเนื้อหาประเด็นอะไร แล้วให้มาดูบทวิเคราะห์ซึ่งอาจจะเป็นบทที่ 4 หรือ 5 ก็ได้ ใหดูว่าบทวิเคราะห์นั้นเราได้ตอบคำถามวัตถุประสงค์ครบถ้วนหรือไม่ หากเปรียบวัตถุประสงค์การศึกษาคือ “คำถาม” ในบทวิเคราะห์นี้ก็เหมือนเป็น “คำตอบ”

2. ตั้งวัตถุประสงค์ไว้กี่ข้อก็ต้องตอบคำถามให้ครบถ้วนพร้อมแสดงเหตุและผลสนับสนุน เช่น กฎหมาย ประกาศ ระเบียบ คำสั่งของทางราชการ หรือแหล่งข้อมูลอื่นก็อ้างอิงให้ครบถ้วนนะครับ และเอกสารที่ใช้อ้างอิงนั้นก็เก็บไว้เป็นภาคผนวกท้ายเล่ม

3. ในเบื้องต้นอย่างเพิ่งไปห่วง ไปกังวลกับจำนวนหน้าว่ามันจะมากจะน้อย หลักสำคัญคือให้วิเคราะห์ดูว่าเนื้อหากลมกลืนกันหรือไม่ก่อน ถ้าอยากได้จำนวนหน้ามาก ๆ ก็ค่อยมาดูกันทีหลังได้

4. ให้เพื่อน หรือ ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจทานก็ได้นะครับ เพราะจะช่วยกรองเนื้อหาอีกทางหนึ่ง


5. ให้เวลาเป็นเครื่องช่วยตรวจทานด้วยคนซิครับ สำคัยเลยคือเรื่อง "เวลา" เพราะจะช่วยให้เราคิดและกลั่นกรองเนื้อหาได้ดีที่สุด หากเขียนวิทยานิพนธ์แบบเร่งรีบเนื้อหาจะไม่เนียนครับ

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การตรวจสอบความกลมกลืนของคำ วลีการเขียนวิทยานิพนธ์

ความกลมกลืนของคำ วลีทำให้งานเขียนอ่านแล้วนุ่มนวลไม่สับสน ความกลมกลืนในที่นี้หมายถึงการใช้คำ วลีที่เสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น

1. การเขียนเรื่องขนาดยาวย่อมต้องมีความผิดพลาดในการเขียนอยู่บ้าง เช่น การใช้คำ วลีที่ แสดงความหมายเดียวกันแต่ใช้คำ วลีต่างกันไป เช่น การเขียนงานวิจัยฉบับหนึ่งอาจใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ผู้เขียน” บ้าง หรือ “ผู้ศึกษา” บ้าง หรือ “ผู้วิจัย” บ้าง ผู้เขียนงานวิจัยต้องใช้คำให้เหมือนและเสมอกันทั้งเล่ม การแก้ไขเรื่องนี้ไม่ยากเพราะระบบปฏิบัติการใน Microsoft Word สามารถแก้ไขคำพูดให้ตรงกันทั้งเล่มในคราวเดียวโดยทำดังนี้ครับ

1.1 ใช้เม้าคลิกที่แถบเครื่องมือ “แก้ไข หรือ Edit”

1.2 ไปที่แถบที่เขียนว่า “แทนที่ หรือ Replace”

1.3 จากนั้นจะขึ้นกล่องข้อความซึ่งมีช่องว่าง 2 บรรทัด บรรทัดแรกมีคำ ว่า “ค้นหา หรือ Find what” ในช่องนี้ให้ใส่คำที่ต้องการค้นหาหรือคำที่เราต้องการแก้ไขลงไป ส่วนช่องว่าบรรทัดที่สองมีคำว่า “แทนที่ด้วย หรือ Replace with” ในช่องนี้ให้นำข้อความใหม่ที่เราต้องการแทนที่ข้อความเก่าใส่ลงไปครับ จากนั้นก็กดที่แถบที่เขียนว่า “แทนที่ทั้งหมด หรือ Replace all” เพียงเท่านี้ข้อความเก่าก็จะถูกเปลี่ยนทั้งหมดไม่ว่าข้อมูลจะมีกี่หน้าคอมพิวเตอร์ก็จะแก้ไขให้ไม่ต้องเสียเวลาไปแก้ที่ละตัวครับ

2. หากมีคำหรือวลีที่แตกต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกัน ต้องสร้างข้อตกลงเบื้องตนกับตัวเองก่อนว่าจะใช้คำใดและให้ใช้คำนั้นเหมือน ๆ กัน เช่น คำว่า “องค์การ” และ “องค์กร”