นึกศึกษาท่านหนึ่งมีข้อมูลพร้มทุกอย่างแล้ว แต่ติดปัญหาที่จะเรียบเรียงยังไงให้งานวิทยานิพนธ์ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ถ้าอย่างงั้นทบทวนกันอีกครั้งครับ
1. เขียนโครงสร้างวิทยานิพนธ์คร่าว ๆ ก่อน
2. จัดลำดับเหตุการณ์ข้อเท็จจริง ที่นิยมมากคือจัดตามลำดับเวลา หรือเรียงลำดับจากเหตุการณ์เล็ก ๆ ไปหาใหญ่
3. จัดลำดับเนื้อหาก่อนนะครับ อย่าเพิ่งไปกังวลกับการเชื่อมเนื้อหา เพราะการเชื่อมเนื้อหาเข้าหากันนั้นเป็นเรื่องรองลงไปครับ (สำหรับผมแล้วการทำโครงสร้างให้สมบูรณ์มาก่อนสิ่งอื่นใดนะครับ)
4. ถ้าจะให้ดีอาจให้เพื่อน ๆ ช่วยวิจารณ์ด้วยก็ดี อย่างน้อยก็ช่วยตรวจตัวสะกดให้ด้วย
5. ต้องอาศัยทักษะความจำมาก ๆ ครับจะต้องทำให้ได้ว่าเนื้อหาท่อนนี้อยู่ตรงไหนในฐานข้อมูลที่เราเก็บรวบรวมมา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย กฎระเบียบต้องทำให้ดีนะครับ
6. เชื่อหรือไม่ครับว่าถ้าเพื่อน ๆ จัดลำดับโครงสร้างเนื้อหาได้แล้วเหตุการณ์ในอนาคตต่อไปจะเกิดขึ้นเอง เช่น สามารถคิดประเด็นใหม่ ๆ ได้เองทันที สามารถเชื่อมโครงสร้างเนื้อหาข้ามไปข้ามมากได้ง่ายขึ้น
หลักง่าย ๆ ของเทคนิคนี้คือ หลายคนจะคิดก่อน คิดไว้ในใจสุดท้ายก็คิดไม่ออกว่าจะเขียนยังไง จบยังไง การจัดลำดับโครงสร้างเนื้อหาจะช่วยผ่อนกำลังสมองครับ ถ้าไม่จัดลำดับโครงสร้างก่อนจะคิดขั้นตอนที่ซับซ้อนขั้นตอนไปไม่ได้ครับ
****************************
รอให้หน้าจอใหม่เสร็จแล้วจะอ่านง่ายกว่านี้ครับ รอสักครู่ครับ เพราะพวกกระทำจัดทำกันเองใช้เวลาว่างจากงานมาทำครับ
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การตรวจสอบวิทยานิพนธ์เบื้องต้น แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การตรวจสอบวิทยานิพนธ์เบื้องต้น แสดงบทความทั้งหมด
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
เทคนิคการเรียบเรียงภาษา
เทคนิคการเรียบเรียงภาษา
1. หลีกเลี่ยงการเขียนวกไปวนมาโดยนำเสนอเป็นประเด็น และจัดลำดับ ตัวอย่างการนำเสนอ เช่น ประการที่หนึ่ง……………… ประการที่สอง…………………… ประการที่สาม…………………….. หรือ อาจใช้หมายเลขกำกับ เช่น 1)………………… 2)…………………. 3)…………………………. การนำเสนอโดยจัดลำดับเป็นประเด็นจะช่วยให้คนที่เขียนไม่คล่องจัดลำดับความคิดไม่ทันสามารถนำเสนอผลงานได้ง่ายโดยไม่ตกประเด็น และยังเป็นการตรวจสอบว่าเราเขียนประเด็นไหนตกไปบ้าง
2.การเรียบเรียงประเด็นและจัดลำดับตามข้อ 1. สามารถทำได้ทั้งการนำเสนอโดยแยกหัวข้อละประเด็น เช่น
ประการที่หนึ่ง…………………………………………………………...
………………………………………………………………………….
ประการที่สอง…………………… …………………………………….
…………………………………………………………………………..
ประการที่สาม…………………………………………………………...
………………………………………………………………………….
หรือ อาจนำเสนอโดยเรียงประเด็นและจัดลำดับแต่อยู่ในย่อหน้าเดียวกันก็ได้ ข้อดีของการจัดลำดับคือป้องกันการเขียนพันกันจากการเขียนประโยคยาว ๆ เพราะเมื่อมีหมายเลขกำกับจะช่วยเตือนความจำเราได้ว่าประเด็นไหนเขียนไปแล้วบ้าง
3. การใช้คำเชื่อมประโยค วลี “ที่” “ซึ่ง” “อัน” “ก็” “โดย” ระวังอย่าใช้คำเหล่านี้พร่ำเพรื่อ หรือหากจะใช้ก็ให้อยู่ห่าง ๆ กัน ตรวจภาษาอีกครั้งให้กระชับ ตัดข้อความที่ไม่จำเป็นเช่นคำว่า “ทำการ” “คำว่า” “เป็นต้น” “ที่” “ซึ่ง” “อัน” “ก็ซึ่ง” “โดยที่”
4.การใช้คำแสดงตัวอย่างมีให้ใช้หลายอย่าง “เช่น” “อาทิ” “กล่าวคือ” “ดังนี้” “ดังต่อไปนี้” สามารถใช้ได้หลากหลายครับไม่จำเป็นต้องใช้คำเดียวตลอดทั้งเล่ม
5.การใช้คำย่อของส่วนราชการ งานเขียนที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการมักจะใช้ชื่อเต็ม และมีคำย่อคู่กัน เช่น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(สำนักงาน ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู(ก.ค.) หรือคำย่อชื่อตำแหน่งทางราชการ เช่น กระทรวงกลาโหม(กห.) ฯลฯ คำเหล่านี้เป็นศัพท์บัญญัติของทางราชการนักศึกษาที่ทำงานรับราชการมักไม่มีปัญหาการเขียน การใช้คำเต็มคำย่อแต่หากเป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงราชการก็ต้องศึกษาไว้ครับหากต้องมีเนื้อหาอ้างอิงเกี่ยวข้องก็ต้องอ้างให้ถูกต้อง โดยสามารถตรวจสอบได้ที่เวปไซด์ต้นสังกัดของแต่ละหน่วยงาน
6. ใช้ภาษาในการเขียนให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ คือมีประธาน กริยา และกรรมของประธาน หรือคำขยายต่าง ๆ
7. การอ้างอิงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรแสดงสูตร และสมการคณิตศาสตร์การนำเสนอสูตรและสมการจำเป็นต้องพิมพ์ให้ชัดเจน มีลำดับขั้นตอนที่เหมาะสม
8. การนำเสนอตัวเลข หรือค่าสถิติในบทความ ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนทั้งในขณะเขียน หรือขณะพิสูจน์อักษร เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด สิ่งสำคัญคือเรื่องการสะกดและคำเขียนผิดควรให้เพื่อน หรือใครก็ได้ช่วยอ่านทวนให้เพื่อตรวจสอบซ้ำไม่ให้มีคำสะกดผิดหลุดออกไปได้
9. เขียนให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่ง่าย การเขียนย่อหน้าที่เห็นแนวคิดหลักได้ชัดเจน การเขียนเนื้อความเป็นเหตุเป็นผล มีขั้นตอนไม่วกวน อย่างไรก็ดีแม้จะเขียนโดยใช้ภาษาง่ายต้องคำนึงว่าภาษาในงานวิจัยเป็นภาษาทางการอย่าใช้ภาษาพูดเข้าไปปน
10. ผู้เขียนมีเทคนิคเฉพาะตัวที่ใช้ตรวจสอบความกลมกลืนของเนื้อหาซึ่งเป็นเทคนิดที่ใช้ได้ผล ท่านผู้อ่านลงนำไปใช้ดูก็ได้ครับ ในระหว่างที่กำลังเขียนเมื่อต้องวิเคราะห์ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ เมื่อวิเคราะห์ไปถึงจุด ๆ หนึ่งจะเกิดอาการตันทางความคิด วิเคราะห์ไม่ออกทั้งที่ข้อมูลก็มีพร้อม ผู้เขียนมีวิธีการแก้ปัญหาดังนี้
10.1 คิดไม่ออกให้หยุดพักชั่วคราวหาอะไรทำให้สมองปลอดโปร่ง
10.2 เนื้อความสำนวนภาษาตรงไหนยังไม่แน่ใจ หรือเรียบเรียงแล้วยังไม่ถูกใจก็ให้ทำแถบ “สีแดง” กำกับไว้ ทั้งนี้ผู้เขียนใช้ “สีแดง” ซึ่งหมายถึง “หยุด” หยุดในที่นี้คือหยุดไว้ก่อนคิดไม่ออกก็หยุดไว้ก่อน แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าสำนวนนี้ใช้ได้หรือไม่แต่อย่าลบข้อมูลนั้นนะครับ เพราะวันข้างหน้าอาจได้ใช้ประโยชน์อยู่ ข้อมูลต่าง ๆ จะลบได้ก็ต่อเมื่อทุกอย่างจบสิ้นแล้วเท่านั้น
10.3 เนื้อความสำนวนภาษาตรงไหนแน่ใจแล้วแต่ยังไม่แน่ใจอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้เขียนใช้แถบ “สีฟ้า” กำกับไว้ ผู้เขียนใช้ “สีฟ้า” แทนสีเขียวซึ่งหมายถึงผ่านตลอดเพราะตัวอักษรสีเขียวมองไม่เห็นครับ ความหมายของการใช้ “สีฟ้า” คือ สำนวนภาษาตรงนี้ยังก้ำกึ่ง ๆ อยู่จะใช้ได้แล้วก็ยังไม่ใช่ จะใช้ไม่ได้เลยก็ไม่ใช่ พูดง่าย ๆ คือเขียนไปก็ลังเลไปเลยใช้ “สีฟ้า” ไปก่อนครับ แต่อย่าลบทิ้งนะครับ
10.4 การตัดต่อข้อมูลหรือข้อความจากแฟ้มข้อมูล ในกรณีที่เป็นงานวิจัยหลายคนหรือวิจัยคนเดียวแต่ใช้คนพิมพ์งานหลายคน เมื่อต้องนำข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มมารวมเป็นแฟ้มงานอันเดียวกัน ให้กำหนดว่าต้องมีแฟ้มข้อมูลอันใดอันหนึ่งเป็นหลัก ส่วนแฟ้มข้อมูลอื่น ๆ ก็เป็นแฟ้มข้อมูลสำรอง เมื่อตัดต่อหรือย้ายข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลใดมารวมกับแฟ้มข้อมูลหลักแล้ว ข้อมูลที่นำมาใช้แล้วให้ทำแถบสีกำกับไว้ด้วยเพื่อเตือนตัวเองให้ทราบว่าข้อมูลนี้ถูกนำไปใช้แล้วอย่างน้อยครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการนำข้อมูลอันเดียวกันไปใช้อ้างอิงซ้ำซาก
1. หลีกเลี่ยงการเขียนวกไปวนมาโดยนำเสนอเป็นประเด็น และจัดลำดับ ตัวอย่างการนำเสนอ เช่น ประการที่หนึ่ง……………… ประการที่สอง…………………… ประการที่สาม…………………….. หรือ อาจใช้หมายเลขกำกับ เช่น 1)………………… 2)…………………. 3)…………………………. การนำเสนอโดยจัดลำดับเป็นประเด็นจะช่วยให้คนที่เขียนไม่คล่องจัดลำดับความคิดไม่ทันสามารถนำเสนอผลงานได้ง่ายโดยไม่ตกประเด็น และยังเป็นการตรวจสอบว่าเราเขียนประเด็นไหนตกไปบ้าง
2.การเรียบเรียงประเด็นและจัดลำดับตามข้อ 1. สามารถทำได้ทั้งการนำเสนอโดยแยกหัวข้อละประเด็น เช่น
ประการที่หนึ่ง…………………………………………………………...
………………………………………………………………………….
ประการที่สอง…………………… …………………………………….
…………………………………………………………………………..
ประการที่สาม…………………………………………………………...
………………………………………………………………………….
หรือ อาจนำเสนอโดยเรียงประเด็นและจัดลำดับแต่อยู่ในย่อหน้าเดียวกันก็ได้ ข้อดีของการจัดลำดับคือป้องกันการเขียนพันกันจากการเขียนประโยคยาว ๆ เพราะเมื่อมีหมายเลขกำกับจะช่วยเตือนความจำเราได้ว่าประเด็นไหนเขียนไปแล้วบ้าง
3. การใช้คำเชื่อมประโยค วลี “ที่” “ซึ่ง” “อัน” “ก็” “โดย” ระวังอย่าใช้คำเหล่านี้พร่ำเพรื่อ หรือหากจะใช้ก็ให้อยู่ห่าง ๆ กัน ตรวจภาษาอีกครั้งให้กระชับ ตัดข้อความที่ไม่จำเป็นเช่นคำว่า “ทำการ” “คำว่า” “เป็นต้น” “ที่” “ซึ่ง” “อัน” “ก็ซึ่ง” “โดยที่”
4.การใช้คำแสดงตัวอย่างมีให้ใช้หลายอย่าง “เช่น” “อาทิ” “กล่าวคือ” “ดังนี้” “ดังต่อไปนี้” สามารถใช้ได้หลากหลายครับไม่จำเป็นต้องใช้คำเดียวตลอดทั้งเล่ม
5.การใช้คำย่อของส่วนราชการ งานเขียนที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการมักจะใช้ชื่อเต็ม และมีคำย่อคู่กัน เช่น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(สำนักงาน ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู(ก.ค.) หรือคำย่อชื่อตำแหน่งทางราชการ เช่น กระทรวงกลาโหม(กห.) ฯลฯ คำเหล่านี้เป็นศัพท์บัญญัติของทางราชการนักศึกษาที่ทำงานรับราชการมักไม่มีปัญหาการเขียน การใช้คำเต็มคำย่อแต่หากเป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงราชการก็ต้องศึกษาไว้ครับหากต้องมีเนื้อหาอ้างอิงเกี่ยวข้องก็ต้องอ้างให้ถูกต้อง โดยสามารถตรวจสอบได้ที่เวปไซด์ต้นสังกัดของแต่ละหน่วยงาน
6. ใช้ภาษาในการเขียนให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ คือมีประธาน กริยา และกรรมของประธาน หรือคำขยายต่าง ๆ
7. การอ้างอิงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรแสดงสูตร และสมการคณิตศาสตร์การนำเสนอสูตรและสมการจำเป็นต้องพิมพ์ให้ชัดเจน มีลำดับขั้นตอนที่เหมาะสม
8. การนำเสนอตัวเลข หรือค่าสถิติในบทความ ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนทั้งในขณะเขียน หรือขณะพิสูจน์อักษร เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด สิ่งสำคัญคือเรื่องการสะกดและคำเขียนผิดควรให้เพื่อน หรือใครก็ได้ช่วยอ่านทวนให้เพื่อตรวจสอบซ้ำไม่ให้มีคำสะกดผิดหลุดออกไปได้
9. เขียนให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่ง่าย การเขียนย่อหน้าที่เห็นแนวคิดหลักได้ชัดเจน การเขียนเนื้อความเป็นเหตุเป็นผล มีขั้นตอนไม่วกวน อย่างไรก็ดีแม้จะเขียนโดยใช้ภาษาง่ายต้องคำนึงว่าภาษาในงานวิจัยเป็นภาษาทางการอย่าใช้ภาษาพูดเข้าไปปน
10. ผู้เขียนมีเทคนิคเฉพาะตัวที่ใช้ตรวจสอบความกลมกลืนของเนื้อหาซึ่งเป็นเทคนิดที่ใช้ได้ผล ท่านผู้อ่านลงนำไปใช้ดูก็ได้ครับ ในระหว่างที่กำลังเขียนเมื่อต้องวิเคราะห์ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ เมื่อวิเคราะห์ไปถึงจุด ๆ หนึ่งจะเกิดอาการตันทางความคิด วิเคราะห์ไม่ออกทั้งที่ข้อมูลก็มีพร้อม ผู้เขียนมีวิธีการแก้ปัญหาดังนี้
10.1 คิดไม่ออกให้หยุดพักชั่วคราวหาอะไรทำให้สมองปลอดโปร่ง
10.2 เนื้อความสำนวนภาษาตรงไหนยังไม่แน่ใจ หรือเรียบเรียงแล้วยังไม่ถูกใจก็ให้ทำแถบ “สีแดง” กำกับไว้ ทั้งนี้ผู้เขียนใช้ “สีแดง” ซึ่งหมายถึง “หยุด” หยุดในที่นี้คือหยุดไว้ก่อนคิดไม่ออกก็หยุดไว้ก่อน แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าสำนวนนี้ใช้ได้หรือไม่แต่อย่าลบข้อมูลนั้นนะครับ เพราะวันข้างหน้าอาจได้ใช้ประโยชน์อยู่ ข้อมูลต่าง ๆ จะลบได้ก็ต่อเมื่อทุกอย่างจบสิ้นแล้วเท่านั้น
10.3 เนื้อความสำนวนภาษาตรงไหนแน่ใจแล้วแต่ยังไม่แน่ใจอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้เขียนใช้แถบ “สีฟ้า” กำกับไว้ ผู้เขียนใช้ “สีฟ้า” แทนสีเขียวซึ่งหมายถึงผ่านตลอดเพราะตัวอักษรสีเขียวมองไม่เห็นครับ ความหมายของการใช้ “สีฟ้า” คือ สำนวนภาษาตรงนี้ยังก้ำกึ่ง ๆ อยู่จะใช้ได้แล้วก็ยังไม่ใช่ จะใช้ไม่ได้เลยก็ไม่ใช่ พูดง่าย ๆ คือเขียนไปก็ลังเลไปเลยใช้ “สีฟ้า” ไปก่อนครับ แต่อย่าลบทิ้งนะครับ
10.4 การตัดต่อข้อมูลหรือข้อความจากแฟ้มข้อมูล ในกรณีที่เป็นงานวิจัยหลายคนหรือวิจัยคนเดียวแต่ใช้คนพิมพ์งานหลายคน เมื่อต้องนำข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มมารวมเป็นแฟ้มงานอันเดียวกัน ให้กำหนดว่าต้องมีแฟ้มข้อมูลอันใดอันหนึ่งเป็นหลัก ส่วนแฟ้มข้อมูลอื่น ๆ ก็เป็นแฟ้มข้อมูลสำรอง เมื่อตัดต่อหรือย้ายข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลใดมารวมกับแฟ้มข้อมูลหลักแล้ว ข้อมูลที่นำมาใช้แล้วให้ทำแถบสีกำกับไว้ด้วยเพื่อเตือนตัวเองให้ทราบว่าข้อมูลนี้ถูกนำไปใช้แล้วอย่างน้อยครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการนำข้อมูลอันเดียวกันไปใช้อ้างอิงซ้ำซาก
Labels:
การตรวจสอบวิทยานิพนธ์เบื้องต้น
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ตรวจสอบเนื้อหาวิทยานิพนธ์ด้วยตนเอง
เมื่อเขียนวิทยานิพนธ์แล้วก็ต้องนำไปส่งอาจารย์ที่ปรึกษาครับ แต่ก่อนส่งเราก็สามารถตรวจสอบเนื้อหาได้ด้วยตนเองด้วยหลักง่าย ๆ ครับ
1. ตรวจดูว่าเราตั้งวัตถุประสงค์การศึกษาไว้ในบทที่ 1 มีเนื้อหาประเด็นอะไร แล้วให้มาดูบทวิเคราะห์ซึ่งอาจจะเป็นบทที่ 4 หรือ 5 ก็ได้ ใหดูว่าบทวิเคราะห์นั้นเราได้ตอบคำถามวัตถุประสงค์ครบถ้วนหรือไม่ หากเปรียบวัตถุประสงค์การศึกษาคือ “คำถาม” ในบทวิเคราะห์นี้ก็เหมือนเป็น “คำตอบ”
2. ตั้งวัตถุประสงค์ไว้กี่ข้อก็ต้องตอบคำถามให้ครบถ้วนพร้อมแสดงเหตุและผลสนับสนุน เช่น กฎหมาย ประกาศ ระเบียบ คำสั่งของทางราชการ หรือแหล่งข้อมูลอื่นก็อ้างอิงให้ครบถ้วนนะครับ และเอกสารที่ใช้อ้างอิงนั้นก็เก็บไว้เป็นภาคผนวกท้ายเล่ม
3. ในเบื้องต้นอย่างเพิ่งไปห่วง ไปกังวลกับจำนวนหน้าว่ามันจะมากจะน้อย หลักสำคัญคือให้วิเคราะห์ดูว่าเนื้อหากลมกลืนกันหรือไม่ก่อน ถ้าอยากได้จำนวนหน้ามาก ๆ ก็ค่อยมาดูกันทีหลังได้
4. ให้เพื่อน หรือ ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจทานก็ได้นะครับ เพราะจะช่วยกรองเนื้อหาอีกทางหนึ่ง
5. ให้เวลาเป็นเครื่องช่วยตรวจทานด้วยคนซิครับ สำคัยเลยคือเรื่อง "เวลา" เพราะจะช่วยให้เราคิดและกลั่นกรองเนื้อหาได้ดีที่สุด หากเขียนวิทยานิพนธ์แบบเร่งรีบเนื้อหาจะไม่เนียนครับ
1. ตรวจดูว่าเราตั้งวัตถุประสงค์การศึกษาไว้ในบทที่ 1 มีเนื้อหาประเด็นอะไร แล้วให้มาดูบทวิเคราะห์ซึ่งอาจจะเป็นบทที่ 4 หรือ 5 ก็ได้ ใหดูว่าบทวิเคราะห์นั้นเราได้ตอบคำถามวัตถุประสงค์ครบถ้วนหรือไม่ หากเปรียบวัตถุประสงค์การศึกษาคือ “คำถาม” ในบทวิเคราะห์นี้ก็เหมือนเป็น “คำตอบ”
2. ตั้งวัตถุประสงค์ไว้กี่ข้อก็ต้องตอบคำถามให้ครบถ้วนพร้อมแสดงเหตุและผลสนับสนุน เช่น กฎหมาย ประกาศ ระเบียบ คำสั่งของทางราชการ หรือแหล่งข้อมูลอื่นก็อ้างอิงให้ครบถ้วนนะครับ และเอกสารที่ใช้อ้างอิงนั้นก็เก็บไว้เป็นภาคผนวกท้ายเล่ม
3. ในเบื้องต้นอย่างเพิ่งไปห่วง ไปกังวลกับจำนวนหน้าว่ามันจะมากจะน้อย หลักสำคัญคือให้วิเคราะห์ดูว่าเนื้อหากลมกลืนกันหรือไม่ก่อน ถ้าอยากได้จำนวนหน้ามาก ๆ ก็ค่อยมาดูกันทีหลังได้
4. ให้เพื่อน หรือ ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจทานก็ได้นะครับ เพราะจะช่วยกรองเนื้อหาอีกทางหนึ่ง
5. ให้เวลาเป็นเครื่องช่วยตรวจทานด้วยคนซิครับ สำคัยเลยคือเรื่อง "เวลา" เพราะจะช่วยให้เราคิดและกลั่นกรองเนื้อหาได้ดีที่สุด หากเขียนวิทยานิพนธ์แบบเร่งรีบเนื้อหาจะไม่เนียนครับ
Labels:
การตรวจสอบวิทยานิพนธ์เบื้องต้น
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
การตรวจสอบความกลมกลืนของคำ วลีการเขียนวิทยานิพนธ์
ความกลมกลืนของคำ วลีทำให้งานเขียนอ่านแล้วนุ่มนวลไม่สับสน ความกลมกลืนในที่นี้หมายถึงการใช้คำ วลีที่เสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น
1. การเขียนเรื่องขนาดยาวย่อมต้องมีความผิดพลาดในการเขียนอยู่บ้าง เช่น การใช้คำ วลีที่ แสดงความหมายเดียวกันแต่ใช้คำ วลีต่างกันไป เช่น การเขียนงานวิจัยฉบับหนึ่งอาจใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ผู้เขียน” บ้าง หรือ “ผู้ศึกษา” บ้าง หรือ “ผู้วิจัย” บ้าง ผู้เขียนงานวิจัยต้องใช้คำให้เหมือนและเสมอกันทั้งเล่ม การแก้ไขเรื่องนี้ไม่ยากเพราะระบบปฏิบัติการใน Microsoft Word สามารถแก้ไขคำพูดให้ตรงกันทั้งเล่มในคราวเดียวโดยทำดังนี้ครับ
1.1 ใช้เม้าคลิกที่แถบเครื่องมือ “แก้ไข หรือ Edit”
1.2 ไปที่แถบที่เขียนว่า “แทนที่ หรือ Replace”
1.3 จากนั้นจะขึ้นกล่องข้อความซึ่งมีช่องว่าง 2 บรรทัด บรรทัดแรกมีคำ ว่า “ค้นหา หรือ Find what” ในช่องนี้ให้ใส่คำที่ต้องการค้นหาหรือคำที่เราต้องการแก้ไขลงไป ส่วนช่องว่าบรรทัดที่สองมีคำว่า “แทนที่ด้วย หรือ Replace with” ในช่องนี้ให้นำข้อความใหม่ที่เราต้องการแทนที่ข้อความเก่าใส่ลงไปครับ จากนั้นก็กดที่แถบที่เขียนว่า “แทนที่ทั้งหมด หรือ Replace all” เพียงเท่านี้ข้อความเก่าก็จะถูกเปลี่ยนทั้งหมดไม่ว่าข้อมูลจะมีกี่หน้าคอมพิวเตอร์ก็จะแก้ไขให้ไม่ต้องเสียเวลาไปแก้ที่ละตัวครับ
2. หากมีคำหรือวลีที่แตกต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกัน ต้องสร้างข้อตกลงเบื้องตนกับตัวเองก่อนว่าจะใช้คำใดและให้ใช้คำนั้นเหมือน ๆ กัน เช่น คำว่า “องค์การ” และ “องค์กร”
1. การเขียนเรื่องขนาดยาวย่อมต้องมีความผิดพลาดในการเขียนอยู่บ้าง เช่น การใช้คำ วลีที่ แสดงความหมายเดียวกันแต่ใช้คำ วลีต่างกันไป เช่น การเขียนงานวิจัยฉบับหนึ่งอาจใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ผู้เขียน” บ้าง หรือ “ผู้ศึกษา” บ้าง หรือ “ผู้วิจัย” บ้าง ผู้เขียนงานวิจัยต้องใช้คำให้เหมือนและเสมอกันทั้งเล่ม การแก้ไขเรื่องนี้ไม่ยากเพราะระบบปฏิบัติการใน Microsoft Word สามารถแก้ไขคำพูดให้ตรงกันทั้งเล่มในคราวเดียวโดยทำดังนี้ครับ
1.1 ใช้เม้าคลิกที่แถบเครื่องมือ “แก้ไข หรือ Edit”
1.2 ไปที่แถบที่เขียนว่า “แทนที่ หรือ Replace”
1.3 จากนั้นจะขึ้นกล่องข้อความซึ่งมีช่องว่าง 2 บรรทัด บรรทัดแรกมีคำ ว่า “ค้นหา หรือ Find what” ในช่องนี้ให้ใส่คำที่ต้องการค้นหาหรือคำที่เราต้องการแก้ไขลงไป ส่วนช่องว่าบรรทัดที่สองมีคำว่า “แทนที่ด้วย หรือ Replace with” ในช่องนี้ให้นำข้อความใหม่ที่เราต้องการแทนที่ข้อความเก่าใส่ลงไปครับ จากนั้นก็กดที่แถบที่เขียนว่า “แทนที่ทั้งหมด หรือ Replace all” เพียงเท่านี้ข้อความเก่าก็จะถูกเปลี่ยนทั้งหมดไม่ว่าข้อมูลจะมีกี่หน้าคอมพิวเตอร์ก็จะแก้ไขให้ไม่ต้องเสียเวลาไปแก้ที่ละตัวครับ
2. หากมีคำหรือวลีที่แตกต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกัน ต้องสร้างข้อตกลงเบื้องตนกับตัวเองก่อนว่าจะใช้คำใดและให้ใช้คำนั้นเหมือน ๆ กัน เช่น คำว่า “องค์การ” และ “องค์กร”
Labels:
การตรวจสอบวิทยานิพนธ์เบื้องต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)