บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาของปัญหา
เป็นการเล่าเรื่องว่าสิ่งที่เราต้องการศึกษามีความสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องศึกษเรื่องนั้น ๆ ต้องชี้ให้เห็นประเด็นปัญหาให้ชัดเจน มีที่มาอย่างไร ระดับความรุนแรงอย่างไร หากละเลยจะนำไปสู่ความเสียหายหรือผลกระทบอย่างไรปัญหาที่ว่านี้เกิดความขัดแย้งในสังคมอย่างไร มีผลกระทบอย่างไร มีความสำคัญเพียงใดที่ต้องศึกษา เริ่มต้นก็เกริ่นนำปูพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราต้องการศึกษาก่อนครับเผื่อว่าผู้สนใจที่เข้ามาอ่านไม่มีความรู้เรื่องนั้น ๆ มาก่อน จากนั้นก็ปูพื้นปัญหาของเรื่องที่เราต้องการศึกษาครับ
วัตถุประสงค์
การกำหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษามักกำหนด ดังนี้
1. เพื่อศึกษา/เพื่อวิเคราะห์/เพื่อทราบ…(ระบุสิ่งที่ต้องการศึกษาให้ชัดเจน)………
2. เพื่อศึกษา/เพื่อวิเคราะห์/เพื่อทราบ…(ระบุสิ่งที่ต้องการศึกษาให้ชัดเจน)………
3. เพื่อศึกษา/เพื่อวิเคราะห์/เพื่อทราบ…(ระบุสิ่งที่ต้องการศึกษาให้ชัดเจน)………
วัตถุประสงค์จะมีกี่ข้อไม่จำกัดขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้อเรื่องว่าใหญ่หรือเล็กเพียงใด หรือขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้เขียน/ ผู้วิจัยว่าอยากจะศึกษาเรื่องที่สนใจเรื่องอะไร การเขียนวัตถุประสงค์ต้องเขียนให้ชัดเจน โดยกำหนดไว้วัตถุประสงค์ข้อละ 1 ประเด็น
วิธีการศึกษา
การเขียนงานวิชาการไม่ว่าจะเป็นรายงาน วิทยานิพนธ์ จำเป็นต้องบอกกล่าวด้วยครับว่างานเขียนของเรามีวิธีการเขียนอย่างไร เก็บข้อมูลอย่างไร วิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรการเขียนวิธีการศึกษาให้ระบุให้ชัดเจนฟันธงไปเลย เช่น การสัมภาษณ์ การสังเกต จากเอกสาร (ระบุเอกสารด้วยว่าเอกสารอะไร เอกสารราชการ บทความ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น…….)
ขอบเขตการศึกษา
ขอบเขตการศึกษาะเป็นการตกลงกันเบื้องต้นว่าการศึกษานี้มีขอบเขตการศึกษากว้างขวาง กินความไปมากน้อยเพียงใด ครอบคลุมประเด็นใดบ้าง เกี่ยวข้องกับบุคคลใดบ้าง เช่น
1. ขอบเขตด้านกาลเวลา เช่น ศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง………ปี พ.ศ………….
2. ขอบเขตด้านตัวบุคคล คือการเก็บข้อมูลจากตัวบุคคลที่ระบุตัวตนชัดเจน เช่น ทัศนคติครูโรงเรียน…..ก…..
3. ขอบเขตด้านเนื้อหา เช่น การวิเคราะห์เนื้อหากฎหมายบางฉบับ บางมาตรา การวิเคราะห์นโยบายของรัฐ
4. ขอบเขตด้านพื้นที่ เช่น ศึกษาเฉพาะบริษัท A ,B, C หรือศึกษาในจังหวัด ก, ข, ค เป็นต้น
5. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ก. ลักษณะของประชากร ข. จำนวนประชากร
6. กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ก. ขนาดของกลุ่มเป้าหมาย ข. วิธีเลือกกลุ่มเป้าหมาย
7. ตัวแปรที่ศึกษา ก. ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) คือ ตัวแปรที่เป็นเหตุ ข. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ ตัวแปรที่เป็นผล
สมมติฐานการวิจัย(ถ้ามี)
สมมติฐานคือการคาดคะเนคำตอบของปัญหาการวิจัยซึ่งคาดการณ์ไว้ก่อนที่จะวิจัย เมื่อผลการวิจัยออกมาแล้วอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับสมมติฐานก็ได้ ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิด เพราะก่อนวิจัยเราอาจคิดว่าปัญหาการวิจัยของเราน่าจะเกิดจากสาเหตุ ก. แต่หลังการวิจัยแล้วพบว่าไม่ใช่ปัญหาเกิดจากสาเหตุ ข. ต่างหาก เป็นต้น ในตัวสมมติฐานเองก็มีรายละเอียดให้ศึกษา เช่น
1. ถ้าเป็นสมมติฐานการวิจัยแบบเปรียบเทียบ จะมีคำว่า “มากกว่า”, “สูงกว่า”หรือ “ต่ำกว่า” หรือ “แตกต่างกัน” ในสมมติฐานนั้นๆ 2. ถ้าเป็นสมมติฐานการวิจัยแบบหาความสัมพันธ์ จะมีคำว่า “สัมพันธ์กันทางบวก”หรือ“สัมพันธ์กันทางลบ” ในสมมติฐานนั้นๆ
นิยามศัพท์/นิยามศัพท์เฉพาะงานเขียนที่กล่าวถึงศัพท์เทคนิคเฉพาะทางที่ไม่ใช่คำสามัญในชีวิตประจำวันก็ควรเขียนไว้ครับ โดยเขียนคำเทคนิคเฉพาะทางและความหมายไว้พอเข้าใจ เมื่อผู้อ่านเห็นคำ ๆ นี้แล้วก็จะเป็นอันเข้าใจโดยอัตโนมัติว่าคำนี้ในการเขียนฉบับนี้หมายถึงอะไร
ประโยชน์ที่จะได้รับเขียนบอกด้วยนะครับว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากงานวิจัยนี้คืออะไร ประโยชน์ที่ว่านี้ก็นำมาจากวัตถุประสงค์การศึกษาครับ เมื่อวัตถุประสงค์ต้องการศึกษา/วิเคราะห์/ทราบ …….. ประโยชน์ที่จะได้รับก็จะเขียนว่า ทำให้ทราบถึง….(ตามด้วยวัตถุประสงค์การศึกษา)…….
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง/ วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง…………….
บทที่ 2 ส่วนใหญ่จะกำหนดให้เป็นการทบทวน แนวคิด ทฤษฎี งานวิจัย(วรรณกรรม)ที่เกี่ยวข้อง ในบทนี้อาจใช้ชื่อเรียกต่างกันไปแล้วแต่รูปแบบการเขียนของแต่ละสถาบันการศึกษาครับ ในบทนี้จะนำเสนอแนวคิด ทฤษฎีที่มีคนกล่าวไว้และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของเรา สำหรับบทนี้ก่อนลงมือเขียนให้นักศึกษาทบทวนงานเขียนเก่า ๆ ที่มีคนเขียนมาก่อนหน้าเพื่อตรวจสอบว่างานเขียนของเราของเราควรจะใช้ทฤษฎีอะไรบ้าง เนื่องจากบทนี้เป็นการรวบรวมแนวคิด ทฤษฎี ของผู้อื่นเพื่อสนับสนุนการวิจัยของเรา ดังนั้น บทที่นี้จะต้องอ้างอิงอยู่เกือบทุกย่อหน้า กรุณาอย่ามองข้ามและอย่าลืมอ้างอิงนะ
ครับ
บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย/(เนื้อหาอื่น ๆ ตามความเหมาะสมของงานวิจัย)
บทที่ 3 นี้ไม่ตายตัวครับถ้าเป็นการวิจัยเชิงปริมาณบทที่ก็จะเกี่ยวกับ “ระเบียบวิธีวิจัย” หรือหากเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพบทนี้จะเป็นการนำสภาพปัญหาในบทที่ 1 มาเขียนขยายความ หรือหากมีเนื้อหาเยอะมาก ๆ บทนี้ก็จะเป็นบทช่วยขยายความเนื้อหาบทอื่น ๆ แม้การวิจัยเชิงคุณภาพเองก็ตามหากระเบียบวิธีวิจัยมีรายละเอียดมากตั้งแต่ 3 หน้าขึ้นไปก็นำมาเขียนเป็นบทที่ 3 ก็ได้ แต่ถ้าเรื่องไม่ซับซ้อนมากระเบียบวิธีวิจัยก็เขียนแทรกในบทที่ 1 ได้
บทที่ 4 วิเคราะห์ผลการศึกษา
การเขียนบทวิเคราะห์นี้มีความสำคัญไม่น้อย งานเขียนวิทยานิพนธ์จะจบได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับบทนี้ ซึ่งมีโครงสร้างของบทที่สามารถใช้เป็นแนวทาง ดังนี้
1. จะต้องเชื่อมโยงกับสิ่งที่ได้เขียนไว้ในบทที่ 1 โดยเฉพาะวัตถุประสงค์การศึกษาที่ตั้งไว้ หากเปรียบวัตถุประสงค์การศึกษาคือ “คำถาม” ในบทวิเคราะห์นี้ก็เหมือนเป็น “คำตอบ”
2. ตั้งวัตถุประสงค์ไว้กี่ข้อก็ต้องตอบคำถามให้ครบถ้วน
3. หากบทวิเคราะห์นี้ต้องอ้างอิง กฎหมาย ประกาศ ระเบียบ คำสั่งของทางราชการ หรือแหล่งข้อมูลอื่นก็อ้างอิงให้ครบถ้วนนะครับ
บทที่ 5 สรุป และข้อเสนอแนะ
บทสรุปคือนำเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งหมดมาสรุปอีกครั้ง เช่น การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์อย่างไร มีขอบเขตอย่างไร มีวิธีการศึกษาอย่างไร ศึกษาไปแล้วได้ผลการศึกษาอย่างไร และมีการอภิปรายผลการศึกษาว่าผลการศึกษาที่ได้เป็นอย่างไร ได้ผลสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่
อ้างอิง/บรรณานุกรม
การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลมีหลักง่าย ๆ ครับคือเรียงตามลำดับตัวอักษร หรือแยกประเภทของข้อมูลว่าเป็นหนังสือ ตำรา หรือเป็นหนังสือพิมพ์ โดยอ้างอิงแหล่งข้อมูลภาษาไทยก่อน และตามด้วยแหล่งข้อมูลภาษาต่างประเทศตามหลัง
ภาคผนวก (ถ้ามี)
ส่วนใหญ่งานวิจัยมักจะมีภาคผนวกซึ่งเป็นข้อมูลเสริมที่ทำให้งานวิจัยสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ภาคผนวกนี้ก็แล้วแต่ลักษณะของเนื้อเรื่องครับว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้าง ภาคผนวกส่วนใหญ่ที่พบ เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ประวัติผู้ให้สัมภาษณ์ ประกาศ ระเบียบ คำสั่งทางราชการ เป็นต้น
อภิธานศัพท์
เป็นส่วนที่รวบรวมคำศัพท์เฉพาะที่ยากๆ ที่ปรากฏในรายงานมารวบรวมไว้โดยเรียงตามลำดับอักษร พร้อมทั้งอธิบายความหมายของคำศัพท์นั้นๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ
ดรรชนี
เป็นการรวบรวมคำหรือข้อความที่ปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่องมาเรียงลำดับไว้ตามลำดับอักษรของคำหรือข้อความนั้น พร้อมบอกเลขหน้าที่คำหรือข้อความปรากฏดรรชนีจะช่วยให้ผู้อ่านค้นหาหัวข้อย่อยได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
ประวัติผู้เขียน
เขียนลงแต่พอสมควรครับส่วนใหญ่ก็ประมาณหนึ่งหน้ากระดาษทั้งนี้ก็ต้องดูรปแบบการพิมพ์ของแต่ละสถาบันเป็นเกณฑ์
เป็นประโยชน์มากคอบคุณครับรับ ข
ตอบลบ